ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

แก้ปรากฏการณ์

๒o มี.ค. ๒๕๕๓

 

แก้ปรากฏการณ์
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

มันมีประเด็นเดียว เวลาเขาพูดน่ะ ประเด็นเดียวคือว่า มันไม่เคยมีปรากฏการณ์ ปรากฏการณ์ว่าทำให้คนเข้าวัดได้มากขนาดนี้ ทุกคนชื่นชมว่ามันเป็นปรากฏการณ์ว่า มันเป็นความดีไง ถ้าเป็นความดีนี่ ความดีเวลาเราดูข่าวทางหนังสือพิมพ์เห็นไหม เวลาเราเห็นคนไปกราบต้นกล้วย เห็นคนไปกราบกระรอกขาว เห็นคนไปกราบปลาเผือกอะไรอย่างนี้ เรามีความเห็นกันอย่างไร เราก็มีความเห็นว่าเนี่ยเขาทำไม่ถูก เราก็ว่าเขาทำไม่ถูก

แล้วเวลาเราเห็นปรากฏการณ์อย่างนี้ คนเข้าวัดๆ มันเข้าวัดไปเพราะอะไรล่ะ ถ้ามันเข้าวัดไปโดยศรัทธา โดยความเชื่อ เวลาเขามาทำบุญกับเรา เวลาเขามาถวายสังฆทาน เราจะถามว่าทำไมถึงถวายสังฆทานล่ะ ก็หมอดูเขาสั่งมาให้ถวาย ถ้าหมอดูสั่งให้ถวายนะ อืม! เราไม่อยากรับเลย ก็เขาไม่ได้เกิดจากความศรัทธาของเขา ถ้าเกิดจากความศรัทธาของเขานะ เขาอยากทำบุญกุศล เนี่ย เจตนาอันนี้มันสำคัญมากเลย ถ้าเจตนานี่เรารู้ถึงผลประโยชน์ใช่ไหม เราเตือนถึงความดี ความถูก ความผิด ความชอบ ความไม่ชอบธรรม อันนี้มันเกิดจากหัวใจ มันสำคัญกว่า

แต่นี้บอกหมอดูให้มาถวายน่ะ หมอดูบอกว่าเนี่ยเวลาแก้กรรม ต้องแก้กรรมต้องไปถวายพระอย่างนั้นๆ พระก็เลยเป็นตรายาง นี่ก็เหมือนกัน เวลาปรากฏการณ์ว่า โอ้โหย คนเข้าวัดเข้าวามหาศาลเลย มันไม่เคยมีปรากฏการณ์อย่างนี้ ที่เขาเข้าในเว็บไซต์กันตอนนี้ มันไม่เคยมีปรากฏการณ์ว่าคนเข้าวัดเข้าวามากขนาดนี้ ถ้าคนเข้าวัดเข้าวาขนาดนี้ มันเป็น.. ไอ้คนเข้าวัดเข้าวามันก็อย่างหนึ่งนะ ความถูก ความผิด มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ความถูก ความผิด ถ้าเข้ามาประพฤติด้วยความถูกต้องใช่ไหม ใช่! เวลาพูดถึง มันคนมาเข้าวัดเข้าวาเนี่ย เข้าวัดเข้าวาเพื่อทำทาน เขาจะดูถูกว่าเป็นระดับของทาน ระดับของประเพณี

แล้วเวลาปฏิบัติขึ้นมา มันจะเข้าถึงความแจ่มแจ้งเห็นไหม ความเข้าใจหลักธรรม เนี่ยแก่นธรรม มันแก่นธรรมตรงไหน ในเมื่อสติมันไม่ต้องทำ ถ้าเผลอแล้วสติมันจะมาเอง มันจะเอาแก่นธรรมมาจากไหน แก่นธรรมมันไม่มี ถ้าแก่นธรรมมันไม่มี เพราะแก่นธรรมมันไม่มี คนถึงเข้ามาแล้วมันสะดวกสบายไง พอคนเข้ามาแล้วสะดวกสบายนะ มันก็เหมือนตื่นวัวตื่นควายกันน่ะ ตื่นวัวตื่นควายน่ะ กับคนที่เข้ามาในศาสนาด้วยสติสัมปชัญญะ โดยความเข้าใจ อันไหนมันจะดีกว่ากัน

ถ้ามันตื่นวัวตื่นควายน่ะ ม็อบ เวลาม็อบเนี่ย เวลาปลุกม็อบนี่แสนยาก แต่เวลาปลุกม็อบขึ้นมาแล้ว ไอ้คนคุมม็อบนั่นสำคัญมากเลย ว่าม็อบนี่จะคุมอย่างไร จะรักษาอย่างไร นี่ก็เหมือนกันเวลาปลุกเร้าให้คนเชื่อเข้ามา แล้วเชื่อเข้ามานั้นมันถูกหรือผิดล่ะ ถ้าเชื่อเข้ามาที่ผิดนะ ดูสิ เวลาม็อบจะคุมไม่ได้นะ เวลาเกิดการจลาจลมันทำลายหมดเลยนะ อันนี้ก็เหมือนกัน โอ้โหย ไม่เคยมีปรากฏการณ์ว่าคนเข้าวัดเข้าวาได้มากขนาดนี้ ถ้ามีปรากฏการณ์คนเข้าวัดเข้าวาได้มากขนาดนี้ คนนั้นต้องเป็นคนดีคนงาม คนนั้นต้องเป็นความถูกต้อง

มันไม่ใช่! คนเข้าวัดนะ คนเข้าวัด ใช่ ขนาดรัฐบาลยังบอกเลย วันสำคัญทางศาสนาเห็นไหม ให้ทำบุญทำกุศล ถ้าทำบุญกุศลเนี่ยเข้าไปแล้วได้ฟังธรรมเห็นไหม มันก็เหมือนความสามัคคี ถ้าเข้าไปชุมชนนั้นมีรักใคร่สมานกลมเกลียวกัน ชุมชนนั้นต้องดี นั่นมันระดับทาน ศีล ภาวนา นี่ระดับของทานนะ ยังไม่เข้าใจเรื่องว่าศีล ๕ คืออะไรเลย ศีล ๕ นี่ทำกันอย่างไรเลย ว่าศีล ๕ ขึ้นมาเนี่ย ศีลมันเป็นความปกตินะ ศีลคือความปกติของใจ ถ้าใจปกติแล้ว เกิดความปกติของใจจะเกิดสมาธิ ว่าสมาธิแล้วมันจะเกิดปัญญา แล้วปัญญาอย่างไร

อันนี้มันกลับหัวกลับหางนะ มันกลับหัวว่าเนี่ยไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ เพราะอะไร เพราะคำพูดมีอยู่คำพูดหนึ่ง เขาพูดของเขาเห็นไหม เขาบอกว่า จิตนี่หยุดได้ไหม คนไปถามเขา เขาบอกว่าเอ็งต้องหยุดหายใจไหม เขาพูดว่าจิตนี่หยุดไม่ได้ เขาว่าจิตหยุดไม่ได้ ความคิดจะต้องมีตลอดไป นั้นเวลาสอนเห็นไหม ให้ดูจิตไปเรื่อยๆ อย่ากดมัน อย่าเกร็งมัน ดูไปเรื่อยๆ ดูไปเรื่อยๆ นะ นี่มันก็เข้ากับปริยัติเห็นไหม กิเลสมีเพราะยึด ทุกข์มีเพราะยึด ถ้าปล่อยแล้วก็ไม่มี ดูไปเฉยๆ นะ มันก็หายกันไปเฉยๆ อย่างนั้นน่ะ ดูกัน เฉยๆ ดูจิตไปเฉยๆ แล้วพอดูแล้วเนี่ยมันสมุจเฉท มันจะขาด

เวลาพูด พูดไปอีกอย่างหนึ่งนะ ถ้าสมุจเฉทมันขาด เวลาขาดแล้วทำไมมันกลับมากลบอีกล่ะ ทำไมพอเห็นนิพพานแว้บเดียว เนี่ย เห็นนิพพานแว้บหนึ่งเห็นไหม แล้วมันจะไปขาดเอา นี่มันกลับหัวกลับหางกันตลอด พอกลับหัวกลับหางกันตลอด มันก็เหมือนกับ ดูสิ เวลาฉีดวัคซีนเห็นไหม ทุกคนต้องฉีดวัคซีน แล้ววัคซีนนั้นน่ะได้ทดสอบหรือยัง วัคซีนนั้นได้วิจัยหรือยัง วัคซีนนั้นมันถูกต้องหรือเปล่า อันนี้บอกว่าวัคซีนก็คือวัคซีนไง ธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าไง มันต้องเป็นอย่างนั้นทั้งหมดไง เนี่ยที่ว่าปรากฏการณ์

เราดูแล้วปรากฏการณ์อย่างนี้นะ คนเข้าวัดเข้าวาเยอะมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่มันยิ่งสลดสังเวช สลดสังเวชที่ว่าเวลาคนเข้าไปแล้ว มันเข้าไปมันตะครุบเงา แล้วมันจะเป็นความจริงไหม ถ้าไม่อย่างนั้น ทำไมองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าแบ่งไว้ว่าปริยัติ ปฏิบัติ แล้วบอกว่านี่เป็นภาคปฏิบัติ เป็นภาคปฏิบัติ เวลาพูดออกมาเนี่ย เวลาภาคปฏิบัติเห็นไหม เขาเอาเอกสารมาให้ดู เถียงกันน่าดูเลยนะ

เถียงกันว่าอีกฝ่ายหนึ่งก็บอกว่า เนี่ยจำมา ไปจำขององค์นั้นๆ ไม่อยากเอ่ยชื่อ อยู่ในเว็บไซต์นั่นเขาเขียนไว้เต็มเลย จำองค์นั้นๆ มาเป็นความจำ ไอ้ลูกศิษย์เขาก็บอกว่า เอ้า มันจะผิดไปที่ไหนล่ะ ก็ศึกษาธรรมพระพุทธเจ้าก็จำพระพุทธเจ้าทั้งนั้นน่ะ มันก็เป็นความจำ มันผิดไปตรงไหนล่ะ เรายังจำธรรมะพระพุทธเจ้ามาเลย แล้วนี่เป็นความจำ เหมือนคัดลอกของคนอื่นมา มันจะผิดไปตรงไหนล่ะ มันบอกถึงความไม่เข้าใจไง มันบอกถึงความไม่เข้าใจของผู้ที่ไม่เคยปฏิบัติเห็นไหม ว่าเวลาจำมานี่มันไม่ผิด

แต่ถ้ามันเป็นภาคปฏิบัตินะ หลวงตานะ เวลาพูดถึงหลวงปู่มั่น ท่านบอกเวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศน์นี่ ถ้าอะไรที่มันเป็นขณะจิต ขณะจิตที่มันเปลี่ยนแปลงเป็นความสำคัญน่ะ หลวงปู่มั่นจะไม่พูดเลย เพราะกลัวจะเป็นสัญญา กลัวจะเป็นความจำ ถ้ากลัวเป็นความจำแล้ว จิตนี้มันจะสร้างภาพ จิตนี้มันมีกิเลสอยู่แล้ว แล้วพวกเราปฏิบัติกัน ทุกคนก็อยากได้มรรคได้ผลใช่ไหม มันจะสร้างภาพ พอมันจะสร้างภาพเนี่ย สร้างภาพเห็นไหม ความสร้างภาพคือ อุปกิเลส เห็นไหม โอภาส สว่างไสว อุปกิเลส ๑๖ เวลาภาวนากันน่ะ เราก็อยากจะว่าง อยากจะมีความสุข อยากจะปล่อยวางเห็นไหม

แต่เวลามันเป็นอุปกิเลสเห็นไหม มันคือความว่าง มันคือความปล่อยวาง มันคือแสงสว่าง นั้นคืออุปกิเลส กิเลสเนี่ย พอเราละจากกิเลสอย่างหยาบๆ มา มันจะไปติดกิเลสอย่างละเอียด ละเอียดก็จิตเราเวลาเป็นเห็นไหม เนี่ยเวลาจิตเราสงบขึ้นมาเห็นไหม มันสว่างไปหมดเห็นไหม เราก็บอก อู้ฮู สว่าง คนนั้นก็ว่าสว่าง ทุกอย่างสว่างไปหมดเลย ไปตื่นเต้นกับความสว่าง แต่ไม่ตื่นเต้นกับผู้รู้ว่าสว่าง ถ้าไม่มีผู้รู้ ใครเป็นคนรู้ว่าแสงสว่าง ทำไมมันว่างหมดเนี่ย ใครเป็นคนรู้ว่าสิ่งนั้นว่าง ใครเป็นคนไปรู้ว่าแสงสว่างนี้มันเกิดขึ้นมา ใครเป็นคนไปเห็นแสงสว่าง

เวลาเราไปเห็นแสงสว่าง เหมือนเราเลย เราแต่งเนื้อแต่งตัวกันน่ะ เราไม่เห็นคุณค่าของตัวเราเองเลยนะ เราไปเห็นเสื้อผ้าแฟชั่นไง โอ้ ตัวนี้หลายตังค์นะ ตัวนี้หลายตังค์นะ แต่ลืมตัวเองนะ มันจะกี่ตังค์ก็แล้วแต่ ใครเป็นคนไปใส่มัน ของมันจะมีคุณค่าขนาดไหน ใครเป็นคนเอามาใส่ เราใส่มันใช่ไหม โอ๋ย อันนี้แฟชั่นนะ อันนี้ดีนะ แล้วดีนี่มันมาจากไหนล่ะ ดีนี่มันอยู่ในข้อมือเรา อยู่ในคอเรา อยู่ในตัวเรา นี่เราเอามาใส่ใช่ไหม นี่ก็เหมือนกันเวลาเราไป โอ๋ย สว่างไปหมดเลย สว่างขนาดไหน ใครเป็นคนไปเห็นสว่าง ใครเป็นคนรับรู้ความสว่างเห็นไหม

เนี่ย กิเลส อุปกิเลส มันจะสว่างขนาดไหน มันจะมีความรู้ขนาดไหนเห็นไหม นั่นน่ะมันเป็นกิเลสอย่างละเอียด สิ่งที่อย่างละเอียดเวลาคนปฏิบัติไป ถ้าเป็นหลักเป็นเกณฑ์ มีครูมีอาจารย์มันจะรู้ถึงตัวจิต ตัวจิตรู้ว่าสว่างเห็นไหม เวลาหลวงตาท่านพูดเห็นไหม ท่านบอกว่าเวลาท่าน จิตท่านว่างหมดเห็นไหม เนี่ยติดในสมาธินะ เวลาเราไปหาหลวงปู่มั่น เนี่ยจิตเป็นอย่างไร จิตเป็นอย่างไร โอ๋ย สว่าง จิตสบายครับ จิตดีมากครับ

ท่านบอกถ้าดีมากอย่างนั้นเห็นไหม เราติดในความสว่าง ติดในความรับรู้ ติดในความว่าง ติดหมดเลย เนี่ยพอมันติดขึ้นมานะ แล้วบอกว่า สุขอย่างนี้ ความติดอย่างนี้ มันเป็นความสุขเล็กน้อย มันยังมีความสุขมากกว่านี้ นี่พูดถึงคนรู้นะ คนที่ว่าเห็นถูกเห็นผิดนะ คนที่เห็นถูกเห็นผิดจะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดใช่ไหม บอกอันนี้มันยังไม่ถึงที่สุด มันยังผิดอยู่ มันยังถูก มันยังไปได้ยิ่งกว่านี้อยู่ แต่เวลาคน คนที่ไม่เข้าใจเห็นไหม เอ้า แล้วถ้ามันไม่ใช่ ไอ้ความว่างอย่างนี้ สัมมาสมาธิเนี่ย องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธพจน์ก็บอกสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิไง มันเป็นสัมมา มันเป็นความถูกต้องดีงามไง นี่ยังเถียงนะ เนี่ย ยังเถียง ยังเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาอ้างเห็นไหม

เวลาคนรู้เห็นไหม สัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้า มันไม่มีตัณหา มันไม่มีสมุทัย มันไม่มีกิเลส นั่นคือสัมมา สัมมาของท่านน่ะมันมีสมุทัย มีความรู้ความเห็น เห็นไหม เราไปเห็นแสงสว่าง เราไปติดข้างนอกเห็นไหม เนี่ย ผิดกับถูกไง จะบอกว่าเราพูดกันนี้เราพูดเรื่องผิดถูก ผิดถูก เราไม่ใช่พูดถึงปรากฏการณ์ ปรากฏการณ์ โอ้โหย คนเข้ามาเยอะมาก คนเข้ามารับรู้มาก โอ๋ย คนติดกันมาก เรานะเราไปโรงเรียนสิ โรงเรียนๆ นี้ นักเรียน ๖๐๐ โรงเรียนนี้นักเรียน ๑,๐๐๐ นักเรียนจะกี่คนก็แล้วแต่ นักเรียนคือนักเรียน นักเรียนไปทำไม นักเรียนไปโรงเรียนไปศึกษา ไปศึกษาแล้วใครเป็นคนสอนนักเรียน ก็ครูโรงเรียนนั้นเป็นคนสอนนักเรียนใช่ไหม

นี่ก็เหมือนกัน ปรากฏการณ์นี่เด็กๆ ปรากฏการณ์นี่ตื่นวัวตื่นควาย แล้วปรากฏการณ์โรงเรียนน่ะ เด็กที่ไปโรงเรียนกับครูที่โรงเรียนน่ะ ครูในโรงเรียนกับเด็กในโรงเรียนวุฒิภาวะต่างกันไหม ปรากฏการณ์เนี่ย เอาปรากฏการณ์นั้นมาเป็นตัวตั้งได้ไหม ว่าเป็นความถูก ความผิด ปรากฏการณ์นั้นเป็นความถูกความผิดไม่ได้ ความถูกความผิดมันเป็นเรื่องของอริยสัจ มันเป็นเรื่องสัจธรรม มันเป็นเรื่องของความจริงอันนั้น ถ้าเป็นเรื่องของความจริงอันนั้นเห็นไหม เนี่ย ความจริงอันนั้นมันกำลังพัฒนาเข้ามา มันจะรู้ของมัน มันจะเห็นถูกเห็นผิดของมัน

ถ้าเห็นถูกเห็นผิดของมัน อันนี้ต่างหาก นี่สัจธรรมมันอยู่ที่นี่ เนี่ยการประพฤติปฏิบัติของเรา มันอยู่ที่นี่ นั้นอ้างแต่คำว่าปรากฏการณ์ไง ปรากฏการณ์ โอ้โหย คนเข้าเยอะมาก ไม่เคยมีปรากฏการณ์อย่างนี้ อย่างนี้ต้องถูกต้องดีงามไปทั้งหมด นี้คำว่าถูกต้องดีงาม มันเป็นความเห็นนะ มันเหมือนกับการเผยแผ่ธรรมเนี่ย ทุกคนก็ต้องพยายามชักนำเข้ามา แต่ชักนำเข้ามาแล้วมันจะมาคัดเลือกกันอีกเห็นไหม คัดเลือกว่ามีการศึกษาขนาดไหน มีความรู้ขนาดไหน จะรับผิดชอบส่วนใดของศาสนา จะเผยแผ่กันอย่างไร จะทำกันอย่างไรให้ศาสนามั่นคง มันก็เป็นอำนาจวาสนา เป็นบารมี เป็นความรัก เป็นความพอใจของคนที่จะทำ

แต่ในการชำระกิเลสเห็นไหม เนี่ยเรื่องปริยัติใช่ไหม เวลาปฏิบัติ เวลาการชำระกิเลส มันต้องทำ ทำใจของเราไง มันต้องทำปรากฏการณ์อันนี้ ทำความรู้สึกอันนี้ให้มันถูกต้องเข้ามา แล้วถ้าปรากฏการณ์อันนี้มันถูกต้องเข้ามา จะไม่กลับหัวกลับหาง ถ้าคำว่ากลับหัวกลับหาง คำว่ากลับหัว ศีล สมาธิ ปัญญาเนี่ย พระพุทธเจ้าเป็นคนวางรากฐานเอาไว้เอง ศีลคือความเรียบร้อยดีงามของสังคมชาวพุทธ ศีลเป็นความเรียบร้อยดีงาม สมาธิคือจิตที่มันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน แล้วถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมา ปัญญาอันนั้นน่ะ ปัญญาอันนั้นถ้ามันเกิดขึ้นมาเนี่ย มันไม่กลับหัวกลับหาง

คำว่ากลับหัวกลับหาง เริ่มต้นเห็นไหมไม่ต้องทำอะไรเลย พอปัญญามันเกิด อย่างนี้มันก็คิดว่าทุกคนมีความคิดอยู่แล้วไง ถ้าอย่างนั้นเด็กก็มีปัญญา ไปโรงเรียนนะ เวลาครูสอนเด็ก เวลาเด็กมันถามว่าทำไมครูสอนอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง ครูจะสอนนะ นักเรียนนะไม่ควรสูบบุหรี่นะ ไม่ควรกินเหล้าเมายานะ แต่ครูนะหยำเปเลย เนี่ย คำสอนอย่างนั้นสอนไป เด็กมันก็รู้ได้ นั้นถ้าพูดถึงคำสอนอย่างนั้น เวลาสอนออกไป มันกลับหัวกลับหางเห็นไหม พอกลับหัวกลับหาง นี่ก็เหมือนกัน ครูทั้งๆ ที่ครูเป็นผู้สอนเด็ก ทำไมให้เด็กมันย้อนศรถามเอาเลย ถอนหงอกเอาด้วย นี่บอกไม่ต้องสูบบุหรี่ ทำไมครูคาบบุหรี่ปุ๋ยๆ อย่างนั้นน่ะ

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่าปัญญามันเกิด ปัญญาเกิดทางโลกเนี่ย ปัญญาที่ทางโลกมันเกิดมันเป็นสัญชาตญาณ มันเป็นปัญญา มันเป็นเรื่องความเห็นอยู่แล้ว ถึงบอกเพราะมันมีรากฐานอย่างนี้ ถึงบอกความคิดหยุดไม่ได้ ในเมื่อความคิดหยุดไม่ได้ เราก็ตามความคิดนั้นไป พอรู้เท่าเห็นไหม รู้เท่าความรู้เท่านี่มันเป็นความรู้เท่า เป็นความเห็นเท่านั้นแหละ แต่เพราะธรรมะพระพุทธเจ้า ทางทฤษฎีเขาบอกว่า ให้รู้กายรู้ใจ ก็เอาคำว่ารู้กายรู้ใจจะพูดทุกๆ ทีว่า รู้กายรู้ใจ รู้กายรู้ใจ รู้กายรู้ใจเราก็สร้างภาพได้ว่ารู้กายรู้ใจอย่างไร รู้กายรู้ใจตามความจริงขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม

นี่เขาบอกว่าครูบาอาจารย์ให้ดูจิตรักษาจิต หลวงปู่มั่น หลวงตาครูบาอาจารย์ท่านก็บอกให้รักษาจิตรักษาใจ ใจของเรานี่ให้รักษา ให้รักษาให้ดูแลหัวใจของเรา ทุกคนน่ะรักษาใจของเรา ใจของเรามันทุกข์ของเราใช่ไหม เนี่ยสังคมก็เป็นภาวะของสังคมใช่ไหม กรรมของสภาวะสังคม กรรมของสังคม กรรมของส่วนร่วมกัน มันก็มีใช่ไหม เราก็มีกรรมของเราใช่ไหม เราอยู่สังคมขึ้นมาเนี่ย เราก็รักษาใจของเรา เห็นไหม สิ่งที่เกิดขึ้นมาเนี่ย ในสังคมมันก็เป็นสิ่งสภาวะแวดล้อม เป็นความเห็นของคน เป็นมุมมองของคนเห็นไหม ตื่นกระแสกันไปเนี่ย ไอ้เราก็อยู่ในกระแสอย่างนี้ เราจะไปกับเขาไหม

เห็นไหม ถ้าเรารักษาใจของเรา เราก็จะไม่ตื่นไปกับเขา เราก็จะรักษาใจของเราได้ ถ้ารักษาใจ นี่ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเราไม่มีหลักใจของเรา เวลาเราตื่นกระแสสังคมความคิดไปเนี่ย เขาบอกปัญญา ปัญญา ปัญญา เนี่ยมันกลับหัวกลับหาง กลับหัวกลับหางที่ไหน กลับหัวกลับหางที่ธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราบอกต้องทำความสงบของใจเข้ามาก่อน พูดถึง ศีล สมาธิ ปัญญา แต่นี่บอกว่าปัญญามันเกิดเลย ดูจิตดูใจไปเนี่ย คำว่าดูจิตดูใจ ดูใจให้สงบก่อน พอใจสงบมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา แล้วเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญาอันนี้มันจะมาซักฟอกใจ

แต่นี่บอกว่าใช้ปัญญาไปเลย ทุกอย่างปัญญา สมถะทุกอย่างไม่..ตอนนี้เขาชักบอกว่าจำเป็นแล้วนะ เมื่อก่อนบอกไม่จำเป็นเลย สมถะนี่ไม่จำเป็น! สมถะไม่เกิดปัญญา ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ใช้ปัญญาไปเลย นี่ไง คำว่ากลับหัวกลับหางคือเอาสัญชาตญาณ เอาปัญญานี่มาใช้เป็นประโยชน์ แต่ในธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็ใช้ประโยชน์เหมือนกัน ถ้าไม่มีปัญญาอย่างนี้ เราไม่มีความคิด ไม่มีความต้องการ ไม่มีความปรารถนา เราจะไม่เข้ามาวัดหรอก การเข้ามาวัดเพราะต้องมีศรัทธาใช่ไหม

ศรัทธาความเชื่อ เวลาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า เราก็ใช้ปัญญาของเราใช่ไหม พอใช้ปัญญาเราก็แยกแยะใช่ไหม แยกแยะว่าอันนี้เป็นบุญกุศล อันนี้เป็นบุญกุศลเราเป็นบาทเป็นฐาน ถ้ามันเป็นบาทเป็นฐานแล้ว เราจะพัฒนาขึ้นไป เราก็ต้องปฏิบัติขึ้นไป พอปฏิบัติขึ้นไปแล้ว มันก็ต้องเริ่มต้นจากพื้นฐานต้องมีสมาธิ แล้วพอมีสมาธิทำให้เกิดปัญญาขึ้นมา มันไม่ได้กลับหัวกลับหาง เนี่ย เขาเรียกว่าเคารพธรรม

เคารพธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วยิ่งถ้าตัวเองยิ่งรู้ ถ้าตัวเองนะ ถ้าจิตเข้าไปรู้สัจจะความจริงอันนี้นะ มันยิ่งซาบซึ้งใหญ่เลย ซาบซึ้งแบบว่า เรามันต้องมีพื้นฐาน มันต้องมีการพัฒนาการขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ต้นไม้นี่เราก็ปีนจากโคนขึ้นไปยอด จากโคนแล้วเราก็ปีนขึ้นไป เราก็ไปเก็บผลไม้กิน เราไปสร้างทุกอย่างประโยชน์อยู่บนต้นไม้นั้น มันเป็นความจริง มันเป็นอย่างนี้ แต่นี่บอกทุกอย่างไม่จำเป็นเลย เหาะมาจากไหนอยู่บนยอดเลย เก็บยอดกินได้หมดเลย เพราะมีความคิดอย่างนี้ เพราะอะไร

เพราะว่า ปรากฏการณ์ของสังคม มันไม่มีปรากฏการณ์ทางจิตไง จิตมันไม่เป็นไป มันเลยกลับหัวกลับหาง คำว่ากลับหัวกลับหางนี่มันไม่มีหลักมีเกณฑ์ พอไม่มีหลักมีเกณฑ์ คำสอนมันถึงได้ผิดตรงนี้ไง พูดพุทธพจน์เหมือนกัน พูดธรรมะคำเดียวกัน พูดอักษร พูดภาษาเดียวกัน แต่การเรียงลำดับความเป็นไปของจิตมันผิด! ความเป็นไปของจิต พัฒนาการของจิตมันกลับหัวกลับหาง ต้นไม้นี่มีแต่รากแก้วชี้อยู่บนอากาศ ยอดต้นไม้จมดินไปอย่างนี้ กับสัจจะความจริงคือรากแก้วอยู่ที่ดิน แล้วโตขึ้นมาเป็นต้นไม้แล้วมีดอก มีใบอยู่นั้น นี่คือธรรมะ

แต่ถ้ามันกลับหัวกลับหางเห็นไหม มันจะเอารากแก้วชี้ฟ้า เอายอดปักดิน ยอดปักดินเพราะอะไร ใช้ปัญญาไปเลยไง รู้กาย รู้ใจ รู้จิตนะ จิตมันจะรู้ของมันไป นี่! ที่ผิดมันผิดตรงนี้ แต่บอกมันไม่ผิด ก็พูดธรรมะพระพุทธเจ้า พูดเหมือนกันเลย เปิดพระไตรปิฎกก็มีเลย แล้วครูบาอาจารย์ทุกองค์ก็พูดเหมือนกัน หลวงตาก็บอกให้ดูใจ รักษาใจ รักษาใจเรา อย่าไปรักษ์ใจคนอื่น ใจคนอื่นไม่ใช่ของเรา

ครูบาอาจารย์พูดอย่างนี้ทั้งนั้น แต่การกระทำมันมีของมันไง การกระทำมันมีของมัน มันพัฒนาของมันขึ้นมา มันจะรู้ของมันเห็นไหม มันจะรู้มันจะเห็นของมัน เราจะกล้าพูดไหมว่าเกลือหวาน น้ำตาลเค็ม เรากล้าพูดไหม ถ้าคนพูดอย่างนี้แสดงว่าแปลกแยกกับสังคม อย่างนั้นต้องไปบัญญัติใหม่เลย เปลี่ยนเกลือน้ำตาล เปลี่ยนกันกลับหัวกลับหางกัน แต่นี่สังคมเขารับรู้กันอยู่แล้วว่าเกลือเค็มน้ำตาลหวาน นี่ก็เหมือนกันในเมื่อประพฤติปฏิบัติ ถ้ามันเป็นความจริงนะ เราไปรู้จริงว่า เกลือนี่เค็ม น้ำตาลนี่หวาน

เราจะไม่พูดกลับกับเขา แต่นี่เราพูดกลับเขา ปัญญาใช้ไปเลย ดูจิตก็ไม่สำคัญ ทุกอย่างก็ไม่สำคัญ แต่เพราะเรื่องเกิดขึ้นมาแล้ว แต่เพราะพูดอย่างนี้ใช่ไหม ทุกคนปฏิเสธ ธรรมชาติของมันคือเกลือเค็มน้ำตาลหวาน แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป ถ้าทำอย่างนั้นแล้ว กว่าจะได้เกลือมาแต่ละเม็ดต้องทำนาเกลือ กว่าจะได้น้ำตาลขึ้นมา น้ำตาลประเภทใด น้ำตาลโตนดต้องใช้ต้นตาล ถ้าน้ำตาลอ้อย น้ำตาลทราย เราก็ต้องปลูกอ้อย ปลูกอ้อยเราต้องลงหีบ เสร็จแล้วเราถึงจะได้น้ำตาลมา

ถ้าทำอย่างนี้ อย่างนี้ลำบากเห็นไหม ก็เลยไม่มีปรากฏการณ์ความตื่นของสังคม เพราะมันต้องทำตามความเป็นจริง ใครอยากได้น้ำตาลก็ต้องปลูกอ้อย ใครอยากได้เกลือก็ต้องทำนาเกลือ มันก็เป็นปรากฏการณ์ตามความเป็นจริง เป็นสัจธรรม ถ้าเป็นสัจธรรมมันก็ไม่มีปรากฏการณ์ คนก็ไม่ตื่นเต้น เพราะมันเป็นข้อเท็จจริงตามทางธรรมชาติ แต่ถ้าบอกทุกอย่างกลับหัวกลับหางแล้วเป็นไป นี่ไง ปรากฏการณ์มันเกิดอย่างนี้ คำว่าปรากฏการณ์ที่คนตื่นเต้นน่ะ เพราะว่ามันไม่มีหลักมีเกณฑ์ แล้วเวลาทุกคนจะพูด เขาเอามาให้ดูเมื่อวาน ทุกคนบอกว่าก็มันปฏิบัติแล้วมันได้ผลน่ะ

เมื่อก่อน โอ๋ย ปฏิบัติไม่ได้เรื่องเลย ส่วนใหญ่จะบอกเลยทำพุทโธมาสิบกว่าปีทั้งนั้นเลย แล้วพอมาดูจิต เยี่ยม!เยี่ยม! เมื่อก่อน อู๋ย พุทโธมาสิบปีเอาหัวปักดินทั้งนั้นน่ะ พอดูจิต โอ้โฮ มันยอด โอ้โฮ มันสบาย เราทำงานอยู่นี่เราตกลงกันตั้งแต่วันนี้เลยนะ ทุกคนไม่ต้องทำงาน อยู่ที่นี่เราเลี้ยงดูหมดเลย เราให้ตังค์ใช้หมดเลย ยอดไหม ยอด แล้วพวกเราจะอยู่กันได้จริงไหม อยู่กันได้จริงหรือเปล่า ตั้งแต่บัดนี้ไปเลยนะ โยมทำงานอะไรลาออกหมดเลย มาอยู่ที่นี่เราจะเลี้ยงดูหมดเลย เราจะให้เงินเดือนด้วย ให้ฟรีๆ คนละหมื่น แล้วไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ โยมเอาไหมล่ะ อยากได้ทุกคนน่ะ แล้วมันเป็นไปได้ไหมล่ะ มันเป็นไปไม่ได้

เพราะคนเรามันต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ มันมีเวรมีกรรม มีพ่อ มีแม่ มีปู่ มีย่า มีลูก มีหลาน มีครอบ มีครัวต้องรับผิดชอบ ต้องทำทั้งหมด พุทโธๆๆ มาตลอด ทำมาสิบปียี่สิบปีไม่ได้อะไรเลย พอมาดูจิตขึ้นมานะ อู้ฮูย มันยอดๆ เนี่ย เอาเวลาพิสูจน์กัน ถ้าเวลาเราต้องกลับไปทำหน้าที่การงานของเรา มันจะเป็นอย่างนี้ไหม สิ่งที่มันเป็นอย่างนี้อยู่มาเนี่ยเพราะอะไร เพราะมันเป็นปรากฏการณ์เพราะความเชื่อ เพราะความเชื่อปรากฏการณ์ แล้วชั่วคราวเท่านั้น ปรากฏการณ์อันนี้เพิ่งเกิดขึ้น ถ้าปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้น ใช้กาลเวลาพิสูจน์ ถ้าใช้กาลเวลาพิสูจน์ว่า เวลาปฏิบัติไปแล้ว มันจะมีมรรคมีผลไหม

ถ้ามันไม่มีมรรคมีผลก็ตั้งกติกาขึ้นมา เอ้า คนนั้นภาวนาดีได้โสดาบัน คนนี้ภาวนาดี ไม่เคยให้โสดาบันใครเลยนะ เพียงแต่บอกภาวนาดี แต่มันก็มีศัพท์มีรหัสของตัวเองกันไงว่า ถ้าใครภาวนาดีแล้วจะได้ขั้นได้ตอน นั่น คือว่าไม่มีอะไรไง คือว่ามันไม่มี เพราะคำว่าสบาย คำว่ารากฐานมันไม่มี มันจะไม่มีผล หลวงปู่มั่นพูดไว้เอง “ต้นคดปลายตรงไม่มี” ทีนี้พอต้นคดปลายตรงไม่มีน่ะ เราถึงพูดไว้เห็นไหมว่าแชร์นิพพาน ถ้าใครลงแชร์แล้วคนนั้นจะได้ผลประโยชน์ ใครลงแชร์ นั่นถ้าใครเข้ามาทำแล้ว มันจะได้ความสะดวกสบาย ความว่าง ความพอใจ มันก็ว่ากันไป

แต่จริงๆ มันคือไม่ได้ จริงๆ มันคือไม่ได้ เพราะว่าแชร์ลูกโซ่หรือแชร์ที่เขาใช้กระแสปั่นกัน มันอยู่ได้ชั่วคราว เราจะบอกว่าที่ทำกัน ปรากฏการณ์นี่มันแป๊บเดียวแหละ ทีนี้คำว่าแป๊บเดียวเนี่ย ทำไมมันอยู่ได้ล่ะเห็นไหม มีขบวนการหนึ่ง ทางที่เขาอยู่กันได้เพราะอะไร เพราะเขาจะมีกระแสบ่อยๆ เขาจะมีโครงการอยู่ตลอดชาติ จะมีการปลุกกระแสกันมาตลอด จะมีโครงการนั้นๆ อยู่ตลอดไป เพื่อปั่นกระแสอยู่ตลอดเวลา ปั่นไว้นะ เหมือนกับตลาดเห็นไหม รีแบรนด์ตลอด คอยพยายามจะให้ขบวนการของมันอยู่อย่างนั้น มันถึงจะอยู่ของมันไง

แต่ความจริงมันไม่เป็น ถ้าพูดถึงการปฏิบัติของกรรมฐานของพระพุทธเจ้าเห็นไหม พระพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นไม้ พระพุทธเจ้าเทศน์ครั้งแรกกับปัญจวัคคีย์ ๕ องค์เท่านั้น พระพุทธเจ้าจะเทศน์ว่าการแต่ละครั้งแต่ละคราวนะ ท่านต้องมองดูความพร้อมของผู้รับ ถ้าผู้รับยังไม่มีความพร้อม ท่านจะเทศน์อนุปุพพิกกถา เทศน์เรื่องระดับของทานเท่านั้น ให้ผู้มีระดับของทาน ให้มีความเชื่อมั่น ให้เตรียมความพร้อม พอเตรียมความพร้อมขึ้นมาท่านถึงเทศน์อริยสัจ เทศน์เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ไม่มีการบอกว่าใครก็ได้ อะไรก็ได้ ทำแล้วจะประสบความสำเร็จ มันไม่มี มันเป็นไปไม่ได้ นี่พูดถึงปรากฏการณ์ไง

เขาบอกว่า มันเป็นปรากฏการณ์ โอ๋ย คนเข้ามาเยอะมากนะมาปฏิบัติ คนจะพูดคำเดียวว่าเมื่อก่อนพุทโธมาสิบปียี่สิบปีแล้วไม่ได้เรื่อง จะทำอะไรมาก็ไม่ได้ผลเลย พอมาดูจิตนี่ อู๋ย สบาย คนเรานะทำอะไรก็แล้วแต่นะ พอเข้ามาถึงว่านั่งพัก ทุกคนสบายหมด คือไม่ทำอะไรสบายที่สุด ฉะนั้นพอกำหนดจิต ตั้งสติอะไรมาเนี่ยพอทิ้งหมดแล้ว สบายไหม มันก็สบาย แต่ความสบายอยู่นี้มันจะอยู่ได้ไหม มันจะอยู่ได้ไหม โดยข้อเท็จจริงมันอยู่ไม่ได้ คนภาวนาเป็นจะรู้ว่าจิตนี้มันดื้อนัก ตัวจิตนี่เหมือนช้างสารที่ตกมัน แล้วตัวจิตนี่จะเอาไว้ในอำนาจของเราน่ะ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ใครจะเอาจิตของตัวเองไว้ในอำนาจของตัว อยากรู้นัก ถ้าไม่ทำสมาธิก่อนมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้! อยู่เฉยๆ แล้วจิตมันจะสงบเอง มันเป็นไปไม่ได้! เพียงแต่ว่าหลอกกันเอง หลอกกันมาตลอด แล้วก็จะหลอกกันตลอดไป โดยสังคมจอมปลอม! โดยสังคมจอมปลอมหลอกลวงกันอยู่อย่างนั้น แล้วบอกการปฏิบัตินี้ปฏิบัติเป็นความจริง เป็นปรากฏการณ์ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นี่เขาพูดเองว่ามันเป็นปรากฏการณ์ ทุกคนชมตรงนี้ไง

วันนี้จะต้องพูด พูดถึงสิ่งที่ปรากฏการณ์ที่มันเกิดขึ้นกับสังคมน่ะ มันเป็นสิ่งที่ไปไม่ได้! สิ่งที่มันจะเป็นไปได้ เพราะว่าหลวงปู่เสาร์นะ หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นเนี่ย เวลาหลวงปู่เสาร์ท่านเผยแผ่ไป แล้วอย่างท่านเจ้าคุณอุบาลี เจ้าคุณต่างๆ เนี่ย เคยอยู่กับสังคมชนชั้นจากภายใน แล้วหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นมาสั่งมาสอนมาดูแล พวกนี้เขามีวุฒิภาวะ เขารับรู้ได้ พอรับรู้ได้เขาประพฤติปฏิบัติของเขาขึ้นมา มันเป็นอำนาจวาสนาของคนนะ อย่างเราเวลานั่งปฏิบัติด้วยกันน่ะ ใครบ้างมันจะปฏิบัติแล้วสงบบ้างไม่สงบบ้าง แม้แต่คนๆ เดียวบางทีก็สงบ บางทีก็ไม่สงบ มันเป็นเพราะเหตุใด

แล้วถ้ามันสงบขึ้นมา มันสงบขึ้นมามันมีปรากฏการณ์ของจิตอย่างใด แล้วมันเป็นอย่างนั้นน่ะ แล้วเวลาเรารักษาไว้ให้ดี มันเสื่อม เสื่อมอย่างไร คนปฏิบัติเหมือนนักกีฬา นักกีฬานะ ถ้าขยันฝึกซ้อมเนี่ย ความฟิตของเขาจะคงที่ของเขา เรื่องทักษะของเขา เขาฝึกของเขาอีกทีหนึ่ง นักกีฬาส่วนใหญ่เขาจะรักษาร่างกายของเขา เขาจะพยายามดูแลเรื่องอาหารของเขา เรื่องอาหารความเป็นอยู่เห็นไหม เพื่ออะไร เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงของเขา

นักภาวนานี่เขาจะดูจิตของเขา เขาจะมีสติของเขา เขาจะคอยรักษาจิตของเขา เขาจะกำหนดพุทโธของเขาทั้งวันทั้งคืน เพราะเขาดูแลใจของเขา มันเหมือนนักกีฬาเขาจะดูแลร่างกายของเขา ขนาดดูแลอย่างนี้แล้วนี่ เวลามันชราภาพไปเห็นไหม เวลาชราภาพไปร่างกายมันเกิดบาดแผล เกิดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา มันก็ทรุดเป็นธรรมดา นี่พูดถึงร่างกายนะ แล้วจิตใจที่เป็นนามธรรมเนี่ย เราจะรักษาให้มั่นคงอยู่ตลอดไป จะทำอย่างใด มันเป็นของรักษาง่ายๆ หรือ

เนี่ยขนาดร่างกายของเรานะ ดูสิ ขนาดว่าเราเอาวิทยาศาสตร์การแพทย์เลย เอาแพทย์มาควบคุมเลย อาหารให้กินอย่างนั้น ให้ดูแลอย่างนั้นๆ แล้วร่างกายนี่มันยังชราภาพไหม มันยังเป็นไปของมันเห็นไหม แล้วจิตใจนี่มันเป็นนามธรรม มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนกว่า แล้วเราจะปล่อยให้มันตามสบายของมัน ให้ทำอะไรก็ได้ ให้มันดิ้นรนอย่างไรก็ได้ เหมือนเรานี่ นักกีฬาเห็นไหม จะกินอาหารขยะ จะกินแต่สิ่งที่มันทำให้ร่างกายเราไม่มีพลังงาน ทำอย่างนั้นแล้วร่างกายมันจะเป็นไหม

นี่ก็เหมือนกันปล่อยมันตามสบาย มันเป็นเรื่องตรงข้าม มันเป็นเรื่องสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นั้นปรากฏการณ์ที่มันเกิดขึ้น คือปรากฏการณ์ที่ว่าให้คนสะดวกสบาย ให้คนทำอย่างไรก็ได้ตามใจของตัว ปรากฏการณ์อย่างนี้ เราจะบอกว่ามันเหมือนกับวิทยาศาสตร์การแพทย์ นายแพทย์ที่เขาดูนักกีฬานี้ เขาไม่รับผิดชอบ เขาให้นักกีฬาของเขาทำอะไรก็ได้ สุดท้ายแล้วนะผลที่ตอบสนองมา มันก็นักกีฬานั้นจะได้ผลตอบสนองเอง แต่ถ้าวิทยาศาสตร์การแพทย์ แพทย์ที่เขาดูนักกีฬาอย่างนั้น เขาจะควบคุมอาหารเองนักกีฬานั้น เขาจะดูแลอย่างนั้น เพื่อให้นักกีฬานั้น อยู่ในกฏระเบียบจะให้ร่างกายมันแข็งแรง

นั้นมันก็อยู่ในการภาวนาพุทโธๆ ของครูบาอาจารย์เรา ตั้งสติของครูบาอาจารย์เรา มันก็เหมือนกับนายแพทย์ที่เขาดูนักกีฬานั้นให้มั่นคงแข็งแรง ไม่ใช่ว่านายแพทย์นี่ไม่รับผิดชอบ ไม่ต้องอะไรก็ได้ แล้วสะดวกสบาย นักกีฬาก็ชอบ นักกีฬาไหนบอกว่า โค้ชมันบอกว่า เฮ้ย นอน! แข่งเลย นอน! นักกีฬาไหนก็ชอบ นักกีฬาไหนไม่ต้องซ้อม ไม่ต้องทำอะไรเลย ถึงเวลาเลยก็แข่งๆ แล้วได้เหรียญทองไปตลอด มันจะมีที่ไหน มันจะมีที่ไหน มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

ปรากฏการณ์อย่างนี้ มันเป็นปรากฏการณ์เพราะว่า วุฒิภาวะ เวลานักกีฬานี่นะ เป็นวิทยาศาสตร์ นี่ยกขึ้นมาเป็นรูปธรรม เราก็เห็นได้ เราก็รู้ได้ใช่ไหม เราก็เปรียบเทียบได้ แต่ความรู้สึกเนี่ยเราเอาอะไรไปเปรียบเทียบล่ะ คนตาบอด จิตบอด จิตที่ไม่มีวุฒิภาวะ เขาพูดอะไรก็เชื่อ เขาพูดอะไรก็เชื่อ แต่ได้พิสูจน์หรือยัง ก็พิสูจน์แล้วไง ก็มันว่างๆ มันสบายๆ อยู่นี่ มันสบายเพราะมันไม่มีหลักมีเกณฑ์ มันไม่มีจุดยืน ไม่มีหลักยึด ถ้าคนแบบสบายๆ ไม่มีหลักมีเกฏฑ์เห็นไหม แล้วมันจะตั้งตัวกันมาได้อย่างไร ถ้ามันตั้งตัวขึ้นไม่ได้ แล้วปัญญาที่มันเกิดขึ้นมาเห็นไหม เนี่ย รู้กาย รู้ใจไป

ถ้าคนภาวนาเป็นนะจะไม่บอกหรอกว่า จิตนี้หยุดไม่ได้ จิตนี้หยุดไม่ได้หรอก เพียงแต่ตามรู้ตามเห็นไปกับจิตนี้แหละ ปัญญามันจะเกิด คำๆ นี้ฟังไม่ได้! จิตนี้หยุดได้ ถ้าจิตนี้หยุดไม่ได้เป็นสมาธิไม่ได้ คำพูดนี้เป็นคำพูดที่คนไม่เคยทำสมาธิเป็น คนทำสมาธิเป็นนะ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่นคือสมาธิ จิตตั้งมั่นถ้ามันไม่หยุด ไม่ตั้งมั่น มันจะเป็นสมาธิได้อย่างไร แล้วบอกจิตหยุดไม่ได้ เขาพูดเองว่าจิตนี้หยุดไม่ได้ ถ้าจิตหยุดไม่ได้แล้วก็ต้องตามความคิดไป

เพราะความคิดมันหยุดไม่ได้ แล้วถ้าความคิดหยุดไม่ได้ แล้วทำไมปัญญาที่เกิดจากดูจิต มันหยุดไม่ได้แล้วมันจะมาชำระกิเลสได้อย่างไร ในเมื่อจิตมันหยุดไม่ได้ หยุดไม่ได้คือไม่มีกำลัง หยุดไม่ได้คือไม่มีฐาน ไม่มีฐานไม่มีที่ตั้งแล้วมันไปแก้กันที่ตรงไหน มันแก้อะไรไม่ได้สักอย่างหนึ่ง นี่ เราจะบอกว่าผู้ที่มาชื่นชมน่ะ มาชื่นชมถึงปรากฏการณ์ เพราะเขาไม่เคยปฏิบัติเขาได้แต่ศึกษา นี่บอกเขาได้ศึกษาธรรมพระพุทธเจ้า ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า แล้วเขาก็พูดธรรมะพระพุทธเจ้า แล้วก็เกิดมีความเชื่อถือเชื่อมั่นศรัทธากันขึ้นมา

เวลาเราพูดนะ เราพูดถึงในการปริยัติปฏิบัติ ถ้าปริยัติปฏิบัติ การปฏิบัติเนี่ยเวลาครูบาอาจารย์ของเรา เวลาปฏิบัติเพราะเราอยู่กับครูบาอาจารย์มา หลวงปู่เจี๊ยะกับหลวงตาเนี่ยคิดถึงหลวงปู่มั่นทีไร น้ำตาไหลทุกทีเลย เพราะหลวงปู่มั่นท่านพยายามค้นคว้า แล้วพยายามต่อสู้กับกระแสสังคม กระแสสังคมไม่เชื่อว่ามรรคผลนิพพานมี หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านพยายามต่อสู้กับตัวของท่านเอง เรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรา ทุกคนก็อยากสะดวก อยากสบาย ทุกคนก็อยากจะถึงฝั่งทั้งนั้นแหละ

แต่ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติจริงมันจะถึงฝั่งได้อย่างไร แต่การประพฤติปฏิบัติมันก็มีกระแสสังคมเนี่ยบีบคั้น ท่านก็ต่อสู้ของท่านขึ้นมา แล้วพอท่านวางหลักวางเกณฑ์ขึ้นมาจนเกิดเป็นสังคมพระป่า ในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนสังคมเขาเชื่อถือ พอสังคมเขาเชื่อถือขึ้นมา มันก็ต้องมีความขยันหมั่นเพียรมีความตั้งใจ มีความจงใจ เพื่อประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้มีหลักมีเกณฑ์ ให้มันมีมรรคมีผลขึ้นมา

แต่เวลามาบอกว่า ไม่ต้อง สมถะไม่มีความหมาย เนี่ยนั่งเกร็ง นั่งเคร่ง นั่ง.. เขาบอกว่าไม่มีนี่ บอกที่ว่าสำนักอื่นปฏิบัติไม่ถูกต้อง ต้องเติม เขาบอกว่าไม่มีหรอก แต่เวลาเขาพูด พูดแล้วก็เฮฮาด้วยนะ พูดถึงเฮฮาว่า ถ้าการจงใจการตั้งใจนี่ผิดหมด แม้แต่ตั้งใจนะ ต้องเผลอแล้วสติจะเกิดขึ้นมา สัมมาสมาธิเกิดต่อเมื่อเผลอ เกิดต่อเมื่ออะไร พอบอกแล้วไฟล์มันอยู่ไหนน่ะ เดี๋ยวจะเอาหนังสือให้ดู เวลาพูดอะไร แล้วไฟล์อยู่ไหนน่ะ สิ่งที่เขาพูดอยู่ไหน เวลาบอกตัวเองไม่ได้พูดสักหนึ่งอย่างเลย

เวลามีคนโต้แย้งมันก็พูด แต่เวลาตัวเองพูดไปเพราะอะไร เพราะคนมีหลักมีเกณฑ์นี่นะ คนมีหลักมีเกณฑ์มันจะรู้กฎ อย่างเช่นคนรู้กฎจราจรเนี่ย เขาจะไปตามกฎจราจร เราเคารพกฎจราจร เราเป็นปัญญาชน ถ้ากฎจราจรเขาห้าม ที่ห้ามจอดที่ไหน เราจะรู้ของเรา เราจะทำของเรา เราจะไม่ฝ่าฝืน ถ้าไม่มีความจำเป็น อันนี้ก็เหมือนกันถ้าคนเป็นใช่ไหม เขาจะรู้ว่ากฎจราจรตรงไหนห้าม ตรงไหนอนุญาต ตรงไหนให้ทำอย่างไร เพราะมันทางม้าลายต้องจอดให้คนข้ามก่อน เพราะสิทธิของเขา

ในการประพฤติปฏิบัติมันจะเป็นอย่างนี้ ถ้าจิตมันเป็นสมาธิ ติดสมาธิเพราะเหตุใด เพราะมีสติ สติเฉยๆ เป็นสมาธิได้ไหม ถ้าไม่มีคำบริกรรม ถ้าจิตมันไม่ตั้งมั่น ถ้าจิตมันตั้งมันเป็นสมาธิได้อย่างไร พอเป็นสมาธิแล้วนี่ สมาธิหยาบละเอียด มันแตกต่างกันอย่างไร พอสมาธิอย่างหยาบเห็นไหม มันก็มีสมาธิมันก็มีความสุข มันก็ปล่อยเข้ามามันก็มีความสุข แต่มันมีกำลังไม่พอเนี่ยมันใช้ปัญญาขึ้นไป มันก็ฟั่นเฟือน

พอมีสมาธิ มันมีกำลังขึ้นมา เวลาใช้ปัญญาขึ้นไป แล้วปัญญาอย่างนี้กับเป็นปัญญาที่ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาที่โดยสัญชาตญาณ มันแตกต่างกันอย่างไร ปัญญาที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ โดยสัญชาตญาณของเรามันไม่มีสมาธิรองรับ ไม่มีสมาธิรองรับเนี่ยกำลังมันไม่มี แต่พอเรามีสมาธิรองรับเหมือนนักกีฬาเลย ไม่ฟิตเนี่ย ทักษะเขาก็มีนะ เขาก็ทำของเขาได้แต่มันอืดอาด อย่างเช่นนักมวย ถ้าเขาไม่ฟิต เวลาออกหมัด เวลาเขาใช้ออกหมัด มันจะเชื่องช้า มันจะไม่ว่องไว มันจะไม่สามารถทำคะแนนได้

แต่ถ้ามีสัมมาสมาธิขึ้นมาเห็นไหม มีกำลังขึ้นมา มีความคิดขึ้นมา หมัดนี่เขาจะไวมาก จนเขาคู่ต่อสู้ไม่เห็นว่ามันปล่อยมาเมื่อไหร่ รู้อีกทีหนึ่ง มันเข้าปลายคางก็หลับไปแล้วน่ะ เนี่ย เพราะอะไร เพราะมันมีสมาธิ มันมีความฟิต มันมีกำลังของมัน ถ้ามันมีสมาธิขึ้นมา สมาธิอย่างหยาบ สมาธิอย่างหยาบก็มีความสุข สมาธิอย่างกลาง สมาธิอย่างละเอียด สมาธิอย่างละเอียดแล้วมันเกิดปัญญาขึ้นมา มันมีขบวนการของมัน ถ้ามีขบวนการของมันขึ้นมาเห็นไหม ขบวนการที่มันเกิดขึ้นมาอย่างนี้ มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

นี่ไง พูดถึง สิ่งนี้ถ้าคนภาวนาเป็นน่ะ มันรู้ได้ จิตหยุดไม่ได้อะไรเนี่ย มันฟังแล้วมัน..ก็ทุกคนเชื่อไง ทุกคนเชื่อเพราะอะไร เพราะทุกคนไม่มีปรากฏการณ์ในหัวใจที่เป็นเครื่องยืนยัน ในความปัจจัตตัง ในความกล้าหาญของนักปฏิบัตินะ ผู้ที่นักปฏิบัติจะกล้าหาญ กล้าหาญเพราะอะไร เพราะปรากฏการณ์ของจิต มันชัวร์ๆ ไง เราเคยทำอย่างนี้ เกลือเค็มน้ำตาลหวานล้านเปอร์เซ็นต์เพราะเราได้กิน เราได้ใช้ เราได้รับรู้ แต่สังคมเขาบอกว่าเกลือหวานน้ำตาลเค็ม มันก็งงนะ แต่ปรากฏการณ์ในหัวใจของเรา สิ่งที่เราเคยลิ้มรสมาเนี่ย เกลือเค็มน้ำตาลหวาน แต่พอเขาบอกว่าเกลือหวานน้ำตาลเค็ม อึ้ม มันก็งงนะ ปรากฏการณ์มันแตกต่างเห็นไหม แต่ถ้าบางคนได้สัมผัสแล้ว ปรากฏการณ์ที่เขาพูดกันจากสังคม นั้นอีกเรื่องหนึ่ง

แต่ปรากฏการณ์ของเรา ที่เราได้สัมผัสเกลือเค็มน้ำตาลหวาน เราได้ลิ้มรสจริงๆ น่ะ มันเป็นความเชื่อของเรา มันเป็นความจริงของเรา มันเป็นความสัมผัสของเรา เราจะไม่ตื่นเต้นไปกับเขา ฉะนั้นกรณีอย่างนี้ คำพูดที่ว่า จิตหยุดไม่ได้ เผลอสมาธิจะมาเองอะไรเนี่ย มันเป็นปรากฏการณ์ที่มันเป็นไปไม่ได้ ทีนี้สังคมเขาเชื่อ แล้วสังคมเขาทำไป แล้วเขามีความพอใจ มีความเห็นอย่างนั้นไปแล้ว อันนั้นมันเป็นเรื่องของเด็ก เป็นเรื่องของชนชั้นที่ว่าไม่มีวุฒิภาวะ เขาเชื่อของเขาไป อันนั้นมันเรื่องของเขา

แต่นี่เราเอาของเรื่องความจริง เรื่องของว่าปรากฏการณ์ตามความจริงที่ว่า ความจริงมันต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าความจริงเป็นอย่างนี้ ใครทำไปก็จะรู้ แต่เขาทำของเขาเป็นอย่างนั้น ก็ต้องเป็นแบบนั้นไป เราจะมาคัดค้านตรงที่ว่า เขามาสาธุกันมาก ว่าเวลาเขามาชื่นชมกันน่ะ เขาจะชื่นชมกันประเด็นเดียวตอนนี้ ประเด็นคือว่า ประชาชนตื่นตัวในการปฏิบัติ แล้วไม่เคยมีปรากฏการณ์มากมายขนาดนี้

แต่ปรากฏการณ์มากมายขนาดนี้ ที่พวกเราออกมาพูดเนี่ยก็เพื่อต้องการให้สังคมได้มีสติ มีสติ แล้วเวลาถ้ามันมีการผิดพลาดไป มันจะได้ไม่ถลำไปมากจนเกินไป ถ้าไม่ได้พูดมันจะถลำไปมากกว่านี้ แล้วพอหมดตัวนะ พอถึงเวลาแล้วนะ มันก็เหลือแต่โครงกระดูกไง แต่ถ้าเรารู้ตัวอยู่นี่ มันยังมีสติ มันยังรักษาตัวเราได้ เรายังกลับตัวได้เพื่อประโยชน์กับเรานะ นี่เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง